ในวงสนทนาของท่านผู้สูงอายุกลุ่มย่อยบางกลุ่ม พูดคุยถึงการให้ทาน ผู้สูงอายุท่านหนึ่งให้ทัศนะว่าท่านให้ทานต้องได้กุศลแน่ ท่านอ้างว่าในการไห้ทานนั้นได้กำจัดความตระหนี่ ความหวงแหนซึ่งเป็นกิเลสชนิดหนึ่งออกไป ทำให้กิเลสของท่านเบาบางลง ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา
ผู้เขียนบทความมีทัศนะว่า ผลของกรรม ไม่ได้เกิดตามกิริยาที่ได้เห็น เราเห็นคนนั้นคนนี้ทำบุญให้ทานแล้วเราก็ตัดสินว่าเขาผู้ให้ทานหรือทำบุญ คงได้รับอานิสงส์บุญแน่ และอนุโมทนาด้วย คงไม่ถูกต้องทีเดียว
ตัวตัดสินผลแห่งกรรมไม่ได้อยู่ที่กิริยาการกระทำตามที่ตาเห็น แต่อยู่ที่เจตนาของผู้กระทำกรรมนั้น เจตนาเป็นอาการของจิต(สมอง) ใครๆมองไม่เห็น ผู้กระทำกรรมรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น
ตามที่ปรากฎจากวงสนทนานี้ ถ้าผู้ให้ทานอยากให้ผู้รับทานได้พ้นทุกข์เพราะทานของตน(จำนวนทานจะมีมากหรือน้อยไม่ใช่ข้อจำกัด) ผู้ให้ทานมีเจตนาดี ตรงกับเจตนาการทำทานในพระพุธศาสนา ให้โดยไม่หวังผลสิ่งใดๆตอบแทน เขาได้รับผลบุญของทานแน่นอน
แต่ถ้าเจตนาของผู้ให้ทานเป็นอย่างอื่น เช่นมีเจตนาหรือคิดอยู่ในใจวาขออยาให้เรามีสภาพอย่างเขาเลย หรือคิดว่าด้วยอำนาจแห่งทานนี้ ขอให้ช้าพเจ้าถูกเบอร์ในงวดนี้ด้วย ทานนี้ก็ไม่ให้ผลทางดี เพราะจิตของท่านเพิ่มตัณหา(ต้นเหตุของความทุกข์) ตรงกับคำพังเพยว่า"ทำบุญแต่ได้บาป"
การทำปาณาติบาตก็เช่นเดียวกัน ตัวตัดสินที่จะมีผลลัพเป็นปาณาติบาต หรือไม่ก็ดูที่เจตนา ผู้ฆ่าไม่มีเจตนาฆ่า แต่ทำให้ชีวิตสัตว์ล่วงไป(ตาย)ด้วยความพลั้งเผลอ เขาก็ไม่ผิดศีลข้อปาณาติบาต ผู้ทำกรรมย่อมรู้ได้เอง คนอื่นหารู้ไม่
ความสำคัญจึงอยู่ที่เจตนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น